ประวัติความเป็นมาของชนเผ่ากะเหรี่ยง
กะเหรี่ยงเป็นชนเผ่าที่จัดได้ว่ามีหลายเผ่าพันธุ์
หลายภาษา มีการนับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่กะเหรี่ยงดั้งเดิมจะนับถือผี
เชื่อเรื่องต้นไม้ปุ่าใหญ่ ภายหลังหันมานับถือพุทธ คริสต์ เป็นต้น กะเหรี่ยง มีถิ่นฐานตั้งอยู่ที่ประเทศพม่า
แต่หลังจากถูกรุกรานจากสงคราม จึงมีกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ประเทศไทย
กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย
กะเหรี่ยงสะกอ หรือที่เรียกนามตัวเองว่า ปากะญอ หมายถึงคน หรือมนุษย์นั้นเอง กะเหรี่ยงสะกอเป็นกลุ่มที่มีจํานวนมากที่สุด
มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยมีมิชชันนารีเป็นผู้คิดค้นดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า
ผสมภาษาโรมัน กลุ่มนี้หันมานับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนใหญ่ กะเหรี่ยงโปร์นั้นเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเคร่งครัดในประเพณี
พบมากที่ อําเภอ แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน อําเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
และแถบตะวันตกของประเทศไทย คือ กะเหรี่ยงขาว พบที่ อําเภอ ขุนยวม แม่ฮ่องสอน
ส่วนปะโอ หรือตองสูก็มีอยู่บ้าง แต่พบน้อยมากในประเทศไทย ชนเผ่า
"ปกากะญอ" เป็นชนเผ่าที่บอกกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมานับร้อยนับพันเรื่อง
เรียงร้อยเก็บไว้ในเเนวของนิทาน อาจจะไม่ใช่หลักฐานที่เเน่ชัด
เเต่ก็พยายามที่จะเล่าสืบทอดให้ลูกหลานได้รู้ ถึงความเป็นมาของเผ่าพันธุ์
และวัฒนธรรมของตัวเอง
ภาษา
กะเหรี่ยงแต่ละเผ่ามีภาษาพูด
และภาษาเขียนเป็นของตนเอง โดยการดัดแปลงมาจากตัวหนังสือพม่า ผสมอักษรโรมัน
วิถีชีวิตด้านอาชีพ
ถืออาชีพที่เป็นอิสระ กะเหรียงดั้งเดิมส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา
อยู่ตามป่าตามเขา ปลูกพืชผักสวนครัวตามฤดูกาล ส่วนสัตว์เลี้ยงก็จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารมากกว่าการค้าขาย
ใช้ชีวิตแบบพึ่งป่าพึ่งน้ำอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
![]() |
การถอนต้นกล้า |
![]() |
การปลูกข้าวนา |
![]() |
การทอผ้าของคนกะเหรี่ยง |
ลักษณะบ้านเรือน
ลักษณะบ้านเรือนของกะเหรี่ยงนั้นนิยมสร้างเป็นบ้านยกพื้นสูง มีชานบ้าน
บางส่วนก็ตั้งบ้านเรือนบนที่ราบเช่นเดียวกับชาวพื้นราบทั่วไป แต่ส่วนใหญ๋แล้วชาวะเหรี่ยงจะตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวร
ไม่ย้ายถิ่นบ่อยๆ
ประเพณีปีใหม่
โดยหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ระบุวันล่วงหน้า
แต่ละหมู่บ้านจะมีปีใหม่ในแต่ละปีไม่ตรงกัน
เพราะเป็นพิธีที่หมายถึงการเริ่มต้นของฤดูกาลการเกษตร และอยู่เย็นเป็นสุข
![]() |
การตักบาตรในวันปีใหม่ |
ศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรม
เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผี มีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่างเคร่งครัด
ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์มากขึ้น
แต่ก็ยังคงความเชื่อเดิมอยู่ไม่น้อย เช่น
ความเชื่อเรื่องขวัญหรือการทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องมีการเซ่นเจ้าที่เจ้าทาง
และบอกกล่าวบรรพชนให้อุดหนุนค้ำจูน ช่วยให้กิจการงานนั้นๆ เจริญก้าวหน้า
ทำเกษตรกรรมได้ผลผลิตดี ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปกป้องคุ้มครองดูแล
และยังเป็นการขอขมาอีกด้วย
![]() |
พิธีการมัดมืด |
![]() |
พิธีบวชป่า |
![]() |
การฉลองพระธาตุ |
ลักษณะการแต่งกายของชนเผ่ากะเหรี่ยง
ปกาเกอะญอ กะเหรี่ยงในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กะเหรียงสะกอ
กะเหรี่ยงโป และ อีก 2 กลุ่ม คือคะยา หรือบะเว และตองสู หรือพะโอ
กะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ เหล่านี้มีวัตนธรรมคล้ายคลึงกัน
แต่การแต่งกายของแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะของตนเองที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นลักษณะการแต่งกายจึงเป็นส่วนหนึ่ง
ที่สามารถบ่งชี้ให้เห็นได้ชัดเจนถึงเอกลักษณ์ของกะเหรี่ยงแต่ละที่ และแต่ละกลุ่ม
การแต่งกายของเด็กและหญิงสาว จะเป็นชุดทรงกระสอบ ผ้าฝ้ายพื้นขาว
ทอหรือปักประดับลวดลายให้งดงาม ส่วนหญิงที่มีครอบครัวแล้วจะสวมเสื้อสีดำ น้ำเงิน และผ้านุ่งสีแดงคนละท่อน
ตกแต่งด้วยลูกเดือย หรือทอยกดอก ยกลาย
สำหรับผู้ชายกะเหรี่ยงนั้นส่วนมากจะสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพก
ตัวเสื้อจะมีการตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อผู้หญิง
นุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้สร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับ และสวมกำไลเงินหรือตุ้มหู ปัจจุบันกลุ่มกะเหรี่ยงที่ยังคงสวมใส่เครื่องแต่งกายประจำเผ่าในวิถีชีวิตปกติ
มีเพียงกลุ่มโป และสะกอเท่านั้น ส่วนกลุ่มคะยา และตองสูไม่สวมใส่ชุดประจำเผ่า
ในชีวิตประจำวันแล้ว กะเหรี่ยงแต่ละกลุ่ม นอกจากจะมีการแต่งกายที่แตกต่างกัน
กะเหรี่ยงกลุ่มเดียวกันแต่อยู่ต่างพื้นที่ ก็มีลักษณะการแต่งกายไม่เหมือนกันด้วย
เช่น กะเหรี่ยงโปแถบอำเภอแม่เสรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แต่งกายมีสีสันมากกว่าแถบจังหวัดเชียงใหม่ หญิงกะเหรี่ยงสะกอแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน
และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ตกแต่งเสื้อมีลวดลายหลากหลาย และละเอียดมากกว่าแถบจังหวัดตาก
หรือกะเหรี่ยงโปแถบจังหวัด กาญจนบุรี ก็มีลวดลายตกแต่งเสื้อผ้าแตกต่างจากภาคเหนือ
อย่างเชียงรายที่มีการนำแฟชั่นใหม่ๆ มาทำซึ่งมีลักษณะที่แปลก และแวกแนวออกไป เช่น
ทำผ้าปูโต๊ะที่มีลวดลายใหม่ๆ ที่ประยุกต์ และมีลายปักแบบลายไทย บ้างก็ทำสะไบ
เพื่อขายออกยังมีลูกเล่นลวดลายอื่นๆ ที่เพิ่มอีกมากมายซึ่งเป็นไปตามยุคสมัย
และการพัฒนาของเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอ
และโปในทุกจังหวัดของประเทศไทย ยังคงรักษาลักษณะร่วมที่แสดงสถานะของหญิงสาว
และหญิงแม่เรือน เช่นเดียวกัน คือ หญิงทุกวัยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต้องสวมชุดยาวสีขาว
(เช ควา) เมื่อแต่งงานแล้วจะต้องเปลี่ยนมาเป็นสวมใส่เสื้อสีดำ หรือที่เรียกว่า
"เช โม่ ซู" และผ้าถุงคนละท่อนเท่านั้น ห้ามกลับไปสวมใส่ชุดยาวสีขาวอีก
ส่วนผู้ชายทั้งกลุ่มโป และสะกอแถบภาคเหนือมักสวมกางเกงสีดำ และสีน้ำเงิน
หรือกรมท่า ในขณะที่แถบจังหวัดตาก และอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน มักสวมโสร่ง
ลักษณะเสื้อผู้ชายวัยหนุ่มใช้สีแดงทุกกลุ่ม แต่มีลวดลายมากน้อย ต่างกัน
การแต่งกายในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีปีใหม่ พิธีแต่งงาน เน้นสวมใส่เสื้อผ้าใหม่
จะเห็นชัดว่าชายหนุ่ม และหญิงสาวจะพิถีพิถันแต่งกายสวยงามเป็นพิเศษ
![]() |
การแต่งกายของผู้หญิงยังไม่แต่งงาน |
![]() |
การแต่งกายของผู้ชายยังไม่แต่งงาน |
![]() |
การแต่งกายของผู้แต่งงานแล้ว |
อาหาร
มุซ่าโต่ ภาษากะเหรี่ยง แปลว่าน้ำพริก
ซึ่งเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้เลย ทุกมื้อจะต้องมีรายการอาหารนี้ ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า
กินน้ำพริกแล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีความอดทนสูง ทนต่อสภาพภูมิอากาศ
เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังตามความเชื่อของบรรพบุรุษของกะเหรี่ยง ชาวกะเหรี่ยงจะจัดรายการน้ำพริกให้กับลูกหลานและฝึกให้ลูกหลานกินน้ำพริกตั้งแต่ยังเยาววัย
ความเชื่อดังกล่าวจะแท้จริงประการใดนั้น
ยังไม่มีลูกหลานกะเหรี่ยงคนไหนเลยที่จะปฎิเสธที่จะทานน้ำพริก หรือ มุซ่าโต่
เมื่อใดที่คุณมีโอกาสเข้าไปในหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงก็ลองสัมผัสกับรสของน้ำพริกกะเหรี่ยง
![]() |
แอบปลา |
![]() |
แกงปลา |
![]() |
การต้มน้ำชาในกระบองไม้ไผ่ |
![]() |
การต้มน้ำในกระบ๋อง |